บทที่ ๑
หมู่บ้านเริ่มร้าง
เมื่อ ๔๗ ปีก่อน ในภาคอีสานยังมีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
ทุกบ้านมีสภาพเหมือนกันหมดคือมียุ้งฉางใกล้บ้าน และคอกวัวควายใต้ถุนบ้าน รอบๆหมู่บ้านมีทุ่งนาและหนองน้ำ เลยหนองไปอีกหน่อยก็เป็นป่าโปรง ซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า “โคกอีแหลว”
และยังมีบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีสมาชิกด้วยกัน
๕ คน คือมีพ่อแม่ และลูกๆอีกสาม
(พี่ชายหนึ่ง และเด็กผู้หญิงสองคนยี่สุ่นและบุญหลาย)
วันหนึ่งคูน
ลูกชายคนโตอยากได้ซื้อกะโพกญี่ปุ่นจึงขอเงินพ่อไปซื้อ แต่พ่อก็ไม่ให้ ทำให้คูนได้แต่นั่งมองพวกแกวหาบเร่เดินไปจนลับตา และพ่อก็เคยบอกคูนว่าอย่าไปยุ่งกับพวกคนแกวนั้น เพราะว่าพวกนั้นมันหมอ
แต่แม่ของคูนออกมาค้านพ่ออีกว่าถ้าพวกเราคนอีสานไปเอาอย่างแกวจะไม่มีวันทุกข์ยากปากหมอง
วันหนึ่งเป็นวันที่ร้อนมาก ขณะที่เด็กๆทั้งสามคนเล่นอยู่ใต้ถุนบ้าน แม่ก็ก็เอาไข่หมกในทรายมาให้เด็กๆกิน พอพ่อลงมาเห็นก็บอกกับเด็กๆว่า ไข่หมกทรายกินแล้วทำให้เรียนเก่ง คูนจึงสงสัยแล้วถามพอว่าจะให้ตนไปโรงเรียนหรือ พ่อก็ถามต่อไปว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร
คูนตอบว่าอยากเป็นพ่อค้าหาบเร่เหมือนพวกแกว พอพูดคุยกันเสร็จแม่ก็ให้พ่อไปซื้อเสื้อนักเรียนและหนังสือเรียนให้คูน
วันหนึ่งผีปอบเข้ามากินตับปู่ในบ้านคุ้มบ้านใต้ ด้วยความอยากรู้ของคูน จึงแอบเข้าไปดูไกลๆ แล้วคูนก็เห็นคนหนึ่งถือแส้ตีปู่ที่นอนร้องอยู่แล้วเอาน้ำรดลงตัวปู่
แล้วคนที่ถือแส้ก็ถามปู่ว่ามึงเป็นผีปอบตัวไส ซื่ออีหยังบอกมาไวๆ แล้วปู่ก็ตอบว่า กูบ่แมนผีปอบ กูเป็นไข้ป่า
พอแล้วๆอย่าอาบน้ำให้กู
ต่อมาไม่นานคูนก็น้องไห้โห่งๆเพราะคูนได้ยินเสียงคนข้างบนร้องไห้ พอมาดูกพบว่าคุณปู่ไม่ลืมตา แล้วคุณปู่ก็หายหน้าไปตั้งแต่คราวนั้นอีกต่อไป
เช้ามืดวันหนึ่งมีเสียงเซ็งแซ่ที่หน้าบ้าน
คูนตื่นขึ้นก็เห็นพ่อแม่กำลังร่ำลาลุงสี,ลุงแก้วและภรรยา
เนื่องจากว่าพวกเขาจะย้ายไปอยู่ที่บ้านดินดำน้ำชุ่ม ด้วยความสงสัยของคูน จึงไปถามแม่ว่าบ้านดินน้ำชุ่มคืออะไร แม่ตอบว่าคือที่ทำนาได้ทุกปี
คูนจึงไปถามพ่อว่าทำมเราไม่ย้ายไปอยู่ที่นั้นบ้าง พ่อก็ตอบว่าปู่ของลูกสั่งเสียว่าอย่าย้ายไปไหน...